18/08/58
Tense แปลว่า
กาล คือเป็นรูปแบบที่แสดงให้ทราบว่า การกระทำหรือเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไร
ได้เกิดขึ้นแล้วหรือกำลังจะเกิดในข้างหน้า โดยแบ่งออกเป็น 3
ชนิดคือ past tense(อดีตกาล) present tense (ปัจจุบันกาล)
และ future tense (อนาคตกาล) การเรียนรู้เรื่อง tense ให้ได้ผลและไม่สับสนนั้นต้องจำชื่อ
tense ให้ได้เป็นภาษาอังกฤษและแปลเป็นภาษาไทย
เรียนรู้โครงสร้างให้ถูกต้อง แม่นยำ และต้องเรียนรู้ความหมายของแต่ละ tense
ถ้าใช้กับการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างกาลกันอย่างไร โดย tense
แต่ละชนิดใหญ่ๆที่กล่าวมา ยังแบ่งเป็น tense เล็กๆไปอีก
12 tense ต่อไปนี้
Present simple โครงสร้างคือ
s+v.1
ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความจริงธรรมชาติ คำสุภาษิต และคำพังเพย
ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด
ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ใช้สรุปเรื่องราวต่างๆในอดีต
ใช้กับเรื่องที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ โดยมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่สม่ำเสมอร่วมอยู่
Present continuous โครงสร้างคือ s+v.to be +v.ing ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด
ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน
และใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
Present perfect โครงสร้างคือ s+has/have+v.3
ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้งในอดีตและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และจะมีคำว่า since
และ for มาร่วมด้วยเสมอ ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีตและจะมีคำว่า
ever never มาใช้ร่วมด้วยใช้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน
ซึ่งจะมีคำที่มาร่วมด้วยเสมอคือ just already yet และ
finally
Present perfect continuous โครงสร้างคือ s+has/have+been+v.ing
มีหลักการใช้เช่นเดียวกับ present perfect แต่
tense นี้จะเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย
Part simple โครงสร้างคือ s+v.2
ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตและจบลงไปแล้ว
ใช้กับเหตุการณ์ที่กระทำเป็นประจำในอดีต
ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วชั่วระยะเวลาหนึ่งในอดีต และระยะเวลานั้นผ่านพ้นมาแล้ว
Past continuous โครงสร้างคือ s+was/were+v.ing ใช้กับเหตุการณ์
2
อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันและใช้กับเหตุการณ์ 2
อย่างที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน
และใช้กับเหตุการณ์ที่ได้กระทำติดต่อกันตลอดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค
ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วย
Past perfect โครงสร้างคือ s+had+v.3
ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต
โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะใช้ past perfect และเหตุการณ์ทร่เกิดขึ้นหลังใช้
past simple และยังใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต
แต่ต้องระบุชั่วโมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยค
Past perfect continuous โครงสร้างคือ s+had+been+v.ing มีหลักการใช้เหมือนกับ
past perfect ทุกกรณีเพียงแต่ tense นี้ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำทีหลังโดยไม่ได้หยุด
Future simple โครงสร้างคือ s+will/shall+v.1
ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
Future continuous โครงสร้างคือ s+will/shall+be+v.ing
ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนั้นกำลังทำอะไรอยู่ และใช้กับเหตุการณ์ 2
อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้แมกันในอนาคตโดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังจะใช้ present
simple
Future perfect โครงสร้างคือ s+will/shall+have+v.3
ใช่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือเสร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอยาคต โดยจะมีคำว่า by
นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลา และยังใช้กับเหตุการณ์ 2
อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะใช้ future
perfect และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังใช้ present
simple
Future perfect continuous โครงสร้างคือ s+will/shall+have+been+v.ing
ใช้กับเหตุการณ์ที่เหมือนกับ future perfect แต่จะเน้นถึงการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนซึ่งได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงเหตุการณ์ที่เกิดหลังและยังทำต่อไปในอนาคตด้วย
tense นี้จะไม่ค่อยนิยมใช้บ่อยนักและแต่ละ tense
ก็จะมีวิธีการใช้แต่ละเหตุการณ์ที่แตกต่างกันไป
โดยการที่เราเรียนเรื่อง tense นั้นสามารถทำให้เราได้ทราบว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นตอนไหน
เมื่อไร เพราะแต่ละ tense ก็จะมีตัวบอกเวลาให้เราได้ทราบถึงเวลา
ณ ตอนนั้นที่เกิดขึ้น เมื่อเราได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งในแต่ละ tense แล้วเมื่อเราเกิดความแม่นยำเราก็สามารถนำความรู้ที่เราได้เรียนได้ศึกษาไปใช้ประโยชน์ในงานเขียนต่างฟ
เพราะงานเขียนต้องใช้เรื่อง tense ในการบอกเวลาของเหตุการณ์นั้นๆและยังเป็นประโยชน์ในเรื่องการอ่านอีกด้วย
ทำให้เราได้ทราบถึงเหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้นแล้วใช้ tense ใดก็สามารถเป็นการทบทวนความรู้ของเราได้อีกด้วย
เรื่อง tense ก็เป็นพื้นฐานสำหรับการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น